โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค “วรรณะทาง AI” หลายมิติ อนาคตที่เราจะถูกแบ่งแยกชนชั้นด้วยวิทยาศาสตร์ และวรรณะทาง AI วรรณะทาง AI จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมและเศรษฐกิจ.
ผมพูดถึง ข่าวที่ผมเขียนที่ Sam Alman ลงทุนในการพยายามนำเอางานวิจัยงานหนึ่งเรื่อง Yamanaka factors ซึ่งถูกค้นพบโดยศาสตราจารย์ชินยะ ยามานากะ (Shinya Yamanaka) เป็นการพยายามจะรีโปรแกรมให้เซลล์นั้นย้อนกลับไปเป็นเซลล์ต้นกำเนิด iPSCs (induced Pluripotent Stem Cells) ซึ่งการรีโปรแกรมนี้ทำให้ย้อนวัน ซึ่งความตั้งใจจะเอา AI มาใช้ในการศึกษาลำดับโปรตีน เพื่อเร่งการวิจัยให้เรื่องนี้เกิดเร็วขึ้น โดยพยายามใช้ Model ChatGPT มาสอนเรื่องการลำดับโปรตีน เป็น Model เฉพาะ GPT-4b micro โดยเริ่มจาก [เซลล์ผิวหนัง] ที่รีโปรแกรมง่าย ก็น่าจะเป็นประโยชน์ หากนำ AI มาช่วยวรรณะทาง AI
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวรรณะทาง AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้.
วรรณะทาง AI จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวกระโดดในวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์.
และอาจารย์ก็ให้ความรู้อีกหลายเรื่องที่ลึกขึ้นในทางการแพทย์ ประเด็นเรื่อง DNA Sequencing ที่ถูกลงและการสามารถตรวจความผิดปกติในโรคต่าง ๆ ได้เอง ในอนาคต โอกาสที่เราจะทราบความเสี่ยงมะเร็ง ในขั้นต้น ได้ง่ายและรวดเร็ว และอีกหลายเรื่อง ที่ลึก ๆ จนงง หลายครั้ง ก็พยายามเข้าใจ

เรื่องราวเกี่ยวกับวรรณะทาง AI จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้คนในอนาคต.
ในยุคที่วรรณะทาง AI กำลังเติบโต การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก.
ประเด็นหลังจากคุยอาจารย์แนะนำให้ไปดูหนัง Gattaca (1997)1 ฝ่ากฏโลกพันธุกรรม หนังเก่าปี 1997 ที่ล้ำอนาคตมากเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจเรื่อง DNA และ อนาคตที่เราจะถูกแบ่งแยกชนชั้นด้วยวิทยาศาสตร์ ก่อนหน้านี้เขียนเรื่องหนังไซไฟ ไปแต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง AI แต่นี่เป็นเรื่อง DNA เลยอยากเขียนถึงเรื่องนี้ครับ
การเข้าใจวรรณะทาง AI จะทำให้เราเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต.
วรรณะทางยีนเด่น

หนังเริ่มต้นด้วย ความน่าสนใจ เมื่อเด็กชายถือกำเนิด เราก็จะถูกแค่เจาะเลือด และพยากรณ์อนาคตทั้งชีวิตได้อย่างง่ายดายจากข้อมูล DNA มีความเป็นไปที่จะป่วยเป็นโรค แนวโน้มโรคหัวใจ มีโอกาสได้ถึง 99% สรุปมีแนวโน้มอายุสั้น “ลูกของคุณมีโอกาสอยู่รอดได้ไม่เกิน อายุ 30”
เพราะฉะนั้นครอบครัวที่ต้องการ ความ Perfect จะชดเชยลูกที่สมบูรณ์แบบด้วยการคัดยีนจาก DNA ที่รวมส่วนที่ดีที่สุดของพ่อแม่เข้าด้วยกัน คัดยีนด้อยออกจนหมด ไปจนถึงการเลือกบุคลิกภาพภายนอกได้อย่างง่ายดายด้วย ปลอดจากโรคร้ายแรง หรือความพิการทางพันธุกรรม นั่นคือการถือกำเนิด มนุษย์ที่ถือได้ว่า เป็นมนุษย์สายพันธุ์เด่น ที่ไม่สามารถเกิดด้วยวิธีทางธรรมชาติได้ แม้จะมีลูก 1000 คน ก็ไม่สามารถได้พันธุ์เด่นเท่ากับวิธีการนี้

วรรณะทาง AI จะกำหนดทิศทางของการศึกษาและการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในระยะยาว.
การศึกษาวรรณะทาง AI จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น.
เราจำเป็นต้องเข้าใจบทบาทของวรรณะทาง AI เพื่อที่จะสามารถแข่งขันในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.
ด้วยวรรณะทาง AI เราสามารถสร้างโอกาสใหม่ในทุกระดับของสังคม.
การพัฒนาทักษะด้านวรรณะทาง AI จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวและเติบโตในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.
เทคโนโลยีการคัด ยีนเด่น จากความตั้งใจดี นวัตกรรมที่ช่วยยืดอายุ ลดความเสี่ยงทางทางพันธุกรรม สุดท้ายกลายเป็นโลกในแบบดิสโทเปีย เต็มไปด้วยความมืดมนในด้านต่าง ๆ ทั้งในแง่การปกครอง สังคม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นโลกการแบ่งแยกชนชั้น ด้วยวิทยาศาสตร์ มนุษย์คัดพันธุ์ถือเป็นอภิสิทธิ์ชน แม้แค่สายตาสั้น คือ สิ่งที่บ่งบอกชาติกำเนิดอันล้าหลังระหว่างคนมนุษย์ ธรรมดาและมนุษย์คัดพันธุ์ เกิดธุรกิจแห่งการ การสวมอัตลักษณ์ เกิดขึ้น
ในเรื่องนี้ ยีนก็ดี พันธุลักษณ์ก็ดี ถูกมองว่าเป็นเพียงสิ่งของหรือเป็นเครื่องหมายบ่งบอกฐานะเท่านั้น แนะนำให้ไปหาดูในหนังนะครับ มีสปอยล์ด้านล่างจบใน 12 นาที เป็นหนังเก่าที่แนวคิดล้ำมาก และเทคโนโลยีวันนี้เกิดขึ้นได้จริงแล้ว
วรรณะทาง AI
ไม่เพียงแค่วรรณะทางยีนเด่น อย่างเดียว วรรณะ AI ก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน
ผมได้นั่งดู Video ของ TechSauce ใน YouTube พูดเรื่อง AI ในปี 2025 หน้าตาเป็นยังไง มีเทรนด์อะไรบ้างที่เราควรรู้ ? ในช่วงของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ Preseident Thailand Development Research Institute พูดถึงช่วงหนึ่งถึงการแบ่งวรรณะ ของคนทำงานในโลกของ AI ที่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม วรรณะใหม่healthcare-ai

แกนแนวนอน (Horizontal axis) คือ “Non-AI User” ↔ “AI User”
แกนแนวตั้ง (Vertical axis) คือ “Not so smart” ↔ “Smart”
จากแกนทั้งสอง เราจะได้ 4 ช่อง (Quadrants) ดังนี้:
- คนเก่ง แต่ไม่ใช้ AI
คือกลุ่มที่มีทักษะสูง มีความรู้ความสามารถดี แต่ยังไม่ได้นำ AI หรือเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาช่วย จึงอาจจะใช้เวลานานในการทำงาน หรือต้องทำงานด้วยแรงกายแรงสมองของตัวเองเป็นหลัก ข้อดีคือเป็นคนที่มีรากฐานความรู้แน่น เข้าใจงานอย่างละเอียด แต่อาจเสียโอกาสในการยกระดับผลงานหรือขยายศักยภาพได้มากกว่านี้ หากได้ใช้ AI มาช่วยสนับสนุน - คน Cyborg (เก่ง + ใช้ AI)
เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงที่สุด เพราะไม่เพียงเก่งในเรื่องพื้นฐานของงานที่ทำ แต่ยังประยุกต์ใช้เครื่องมือ AI หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และมีเวลาไปโฟกัสที่งานเชิงกลยุทธ์หรือความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น การผสมผสาน “ทักษะมนุษย์” กับ “ทักษะการใช้ AI” จึงทำให้กลุ่มนี้กลายเป็น “มนุษย์กึ่งเครื่องจักร (Cyborg)” ที่ได้เปรียบสูงมากในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาท สำหรับมุมผม Cyborg อาจรวมไปถึงคนที่ อัพเกรดส่วนหนึ่งของร่างกาย ด้วยการ นำเอาเทคโนโลยีไบโอนิคหรืออวัยวะเทียมชีวภาพ มาใช้และมี AI เข้ามาช่วยด้วย - คนที่ไม่เก่ง และไม่ได้ใช้ AI
คนกลุ่มนี้มีทักษะหรือความสามารถยังไม่เพียงพอ เมื่อไม่ได้ใช้ AI เป็นตัวช่วย ก็ยิ่งอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำกว่ามาตรฐาน หรือทำงานได้ไม่ทันต่อการแข่งขันในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ถ้ากลุ่มนี้เรียนรู้เพิ่มเติมหรือเริ่มใช้ AI เป็นเครื่องมือ ก็มีโอกาสขยับตัวเองไปอยู่ในกลุ่มอื่นที่มีศักยภาพสูงขึ้นได้ - คนไม่เก่ง แต่ใช้ AI เก่ง
แม้ทักษะพื้นฐานด้านงานหรือด้านความรู้ยังไม่แข็งแรงมาก แต่สามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้นได้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นอย่างมากในระยะเวลาสั้น ๆ ข้อดีคือสามารถ “ย่อ” ระยะเวลาเรียนรู้หรือลดต้นทุนความผิดพลาดลงได้ แต่ข้อระวังคือ ถ้าไม่ได้พัฒนาความเข้าใจเชิงลึกในศาสตร์หรือเนื้องานจริง ๆ เอาไว้ด้วย ก็อาจจะขาดทักษะเชิงกลยุทธ์หรือความสร้างสรรค์ที่เป็นของมนุษย์โดยแท้วรรณะใหม่healthcare-ai
ผมได้เอาเรื่องนี้มาเล่ากับทีมงานในบริษัท ถามทุกคนว่า เราอยากเป็นคนอยู่ในวรรณะไหน ทุกคนจะตอบเหมือนกันว่า ขวาบน คือ คน Cyborg (เก่ง + ใช้ AI) แต่ผมให้มุมมองไปมากกว่านั้นว่า เราควรจะอยู่ทั้ง 2 วรรณะ ในฝั่งขวามือ คือเป็น คนเก่ง + ใช้ AI เก่ง และเป็น คนไม่เก่ง แต่ใช้ AI เก่ง พร้อม ๆ กัน เพราะว่า เราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง การที่เราไม่เก่งในเรื่องนั้น ให้เราคิดว่า AI ก็จะช่วยให้เราเก่งขึ้น จะทำให้เราสามารถทำงานได้หลากหลายมากขึ้น
การทำความเข้าใจวรรณะทาง AI จะช่วยให้เราเข้าใจแนวทางการพัฒนานวัตกรรมในอนาคต.
ดร.สมเกียรติ ยังพูดอีกว่า 4 ชนชั้นนี้ก็แบ่งความสามารถบริษัทในอนาคตได้เช่นกัน

โลกของเรา กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เกิด “ชนชั้นวรรณะ” ใหม่หลายมิติ
เมื่อมองภาพรวม “ทักษะของคนทำงานในยุค AI” จึงไม่ได้หมายถึงแค่ “เก่ง” ในเชิงทฤษฎีหรือปฏิบัติอย่างเดียว แต่ยังต้องสามารถผสานพลังกับเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม ยุคนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่:วรรณะใหม่healthcare-ai
- คนที่มีความรู้ลึกซึ้ง (Smart) จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้น ถ้ารู้จักใช้ AI เป็นตัวเสริม
- คนที่ยังไม่เก่ง ก็สามารถ “ยกระดับ” ตัวเองได้ไวขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเรียนรู้ทักษะการใช้ AI
- การไม่เรียนรู้ AI เลย อาจทำให้เสียโอกาสและแข่งขันได้ยากในระยะยาว
การเข้าใจวรรณะทาง AI มีความสำคัญในการสร้างสรรค์แนวทางใหม่ในการทำงาน.
ด้วยความก้าวหน้าของวรรณะทาง AI เราจะมีโอกาสสร้างอนาคตที่ดีกว่า.
สรุปแล้ว ภาพนี้สะท้อนให้เห็นว่า ในยุคที่การทำงานเปลี่ยนไปด้วยพลังของ AI เราไม่ควรมองว่า “AI จะมาแทนที่มนุษย์” แต่ควรมองว่า “มนุษย์+AI” จะทรงพลังกว่า “มนุษย์เพียว ๆ” หรือ “AI เพียว ๆ” อย่างไร ทำให้เราต้องวางแผนพัฒนาทักษะตัวเองควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างโอกาสใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานได้สูงสุดนั่นเอง
โลกของเรา กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เกิด “ชนชั้นวรรณะ” ใหม่หลายมิติ ไม่ได้มีแค่ความแตกต่างทางสังคม อำนาจ หรือทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ชนชั้น AI” และ “ชนชั้นทางยีน” อีกด้วย
2 เรื่องที่เล่ามาจากหนัง Gattaca (1997) ฝ่ากฏโลกพันธุกรรม คือ วรรณะ ทางยีน ที่แบ่ง พวกยีนด้อย และ พวกยีนเด่นออกจากกัน สังคมเลยให้คุณค่าคนสองกลุ่มนี้แตกต่างกัน และเรื่องการเข้าถึงเครื่องมือ AI และความสามารถเป็น 4 วรรณะเข้าไปอีก อย่าลืมว่า ทุกวันนี้เราก็มีวรรณะทางสังคมกันอยู่แล้วหากมีสองเรื่องนี้เข้ามา อนาคตความเหลื่อมล้ำ และ Privillage จะเป็นอย่างไร ถ้ามองในแง่ร้ายก็เหมือนหนัง ที่เล่ามุมมองโลกในแบบดิสโทเปีย (เต็มไปด้วยความมืดมน) สิ่งนี้เราควรตั้งคำถามใน Generation ถัดไปที่การใช้ชีวิตจะยุ่งยากซับซ้อนเข้าไปอีก
- ชนชั้นวรรณะทาง AI:
- ผู้ที่เข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก AI อย่างคล่องแคล่ว จะสามารถสร้างมูลค่าและโอกาสทางอาชีพได้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่คนที่ไม่มีโอกาส หรือไม่ได้เรียนรู้การใช้งาน AI อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง กลายเป็น “กลุ่มด้อยโอกาสทางเทคโนโลยี” ซึ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งถ่างกว้าง
- ชนชั้นวรรณะทางยีน:
- ในอนาคต เมื่อเทคโนโลยีชีวภาพหรือการตัดต่อยีนพัฒนาไปไกล คนที่สามารถลงทุนในการปรับแต่งพันธุกรรมเพื่อให้ลูกหลานแข็งแรงหรือฉลาดกว่า ก็จะมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น ๆ กลายเป็นการแบ่ง “ชนชั้น” ทางชีวภาพ ซึ่งอาจสืบทอดทางพันธุกรรม และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำลึกขึ้นตามโครงสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยี
- ชนชั้นทางสังคม อำนาจ และความร่ำรวย:
- ชนชั้นเหล่านี้ยังคงมีอยู่และฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจและการเมือง เมื่อพ่วงกับปัจจัยใหม่อย่าง AI และเทคโนโลยีชีวภาพ ยิ่งทำให้กลุ่มที่มีทุนทรัพย์หรือมีคอนเนคชันทางอำนาจ เข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เกิดเป็นช่องว่างระหว่าง “ชนชั้นนำ” กับ “ชนชั้นที่เหลือ” ที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน จะเห็นว่า สังคมในยุค AI และเทคโนโลยีล้ำสมัย มีแนวโน้มจะเกิดการแบ่งชั้น (Stratification) ในมิติต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องความรวยหรือความจนอีกต่อไป แต่เป็นความแตกต่างทางโอกาสในการพัฒนาทั้งด้านสติปัญญา สุขภาพ และการใช้เทคโนโลยี เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ บุคคลและองค์กร จำเป็นต้องตื่นตัว เรียนรู้ พัฒนาทักษะ และวางนโยบายที่มองการณ์ไกล เพื่อให้การเติบโตของเทคโนโลยีไม่กลายเป็นเงื่อนไขตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ แต่เป็นโอกาสในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยั่งยืนยิ่งขึ้น
เรื่องพวกนี้น่าคิดนะครับ เป็นพล็อตหนังได้เลยวรรณะใหม่healthcare-ai
- Gattaca (1997) เป็นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ที่เล่าเรื่องราวของโลกอนาคตที่เทคโนโลยีพันธุกรรมก้าวหน้าอย่างมาก มนุษย์สามารถเลือกและปรับแต่งยีนของลูกหลานได้ ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางสังคมระหว่างผู้ที่มีพันธุกรรมที่ถูกปรับแต่ง (“Valid”) และผู้ที่เกิดตามธรรมชาติ (“Invalid”)
เรื่องราวมุ่งเน้นไปที่ วินเซนต์ ฟรีแมน (รับบทโดย Ethan Hawke) ชายหนุ่มที่เกิดตามธรรมชาติและถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Invalid” ซึ่งมีความฝันที่จะเป็นนักบินอวกาศ แต่ด้วยข้อจำกัดทางพันธุกรรม เขาจึงต้องปลอมแปลงตัวตนเป็น เจอโรม มอร์โรว์ (รับบทโดย Jude Law) ชายผู้มีพันธุกรรมที่สมบูรณ์แบบแต่ประสบอุบัติเหตุจนพิการ เพื่อเข้าสู่บริษัท Gattaca และไล่ตามความฝันของเขา
ภาพยนตร์นี้สะท้อนถึงประเด็นทางจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีพันธุกรรม การแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติทางพันธุกรรม รวมถึงการต่อสู้ของมนุษย์กับชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้
↩︎
สามารถรับชมได้ที่: tv.apple.com